คุณประโยชน์ของพริกและดอกคำฝอย
คุณประโยชน์ของสารสกัดจากพริก
สารที่ประกอบอยู่ในตัวสารสกัดจากพริก มีชื่อเรียกว่า สารแคปไซซิน (Capsaisin) เป็นสารที่ให้ความเผ็ดร้อน โดยสารชนิดนี้จะกระจายอยู่ในทุกส่วนของพริก ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่สามารถทนความร้อนได้ดีแม้ว่าจะผ่านกระบวนการทำให้สุกหรือตากแดดร้อน ๆ จนแห้งแล้วก็ตาม สารแคปไซซินใน พริกนั้นมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากมายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพหลายด้าน ดังต่อไปนี้
a. ลดคอเลสเตอรอลและไขมันไม่ดีในร่างกาย
พบผลที่สำคัญจากงานวิจัยซึ่งทดลองให้กลุ่มตัวอย่างบริโภคอาหารที่ผสมสารสกัดจากพริก แล้วนำผลมาเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ทานสารสกัดจากพริก ซึ่งจากการทดลองพบว่า กลุ่มที่ทานสารสกัดจากพริก มีระดับคอเลสเตอรอลรวม และระดับไขมัน LDL ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดี ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ผลการศึกษาทางคลินิกยังพบด้วยว่า สารสกัดจากพริกมีส่วนช่วยให้ระดับไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้น และลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ได้อย่างมีนัยสำคัญด้วย จึงสรุปได้ว่าการรับประทานสารสกัดจากพริกช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยลดไขมันชนิดไม่ดี ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เกิดการเพิ่มของไขมันชนิดที่ดีได้
b. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
งานวิจัยหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากพริกมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการทดลองพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีสารสกัดจากพริก ระดับของ Glucogon-like peptide (GLP-1) สูงเพิ่มขึ้น ซึ่ง GLP-1 มีคุณสมบัติสำคัญโดยออกฤทธิ์กับเซลล์ของตับอ่อน มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลโดยเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน
นอกจากนี้ยังพบการศึกษาในกลุ่มสตรีมีครรภ์ที่เป็นเบาหวาน พบว่า หลังจากรับประทานสารสกัดจากพริกเพียง 4 สัปดาห์ มีผลช่วยลดระดับของการมีภาวะน้ำตาลสูงหลังมื้ออาหาร (Postprandial hyperglycemia) และลดระดับอินซูลินที่สูงขึ้นในเลือด (Hyperinsulinemia) อย่างมีนัยสำคัญ และการวิจัยในกลุ่มตัวอย่างที่สุขภาพดี ยังพบอีกว่า การรับประทานสารสกัดจากพริกช่วยส่งเสริมให้ระบบทางเดินอาหารดูดซึมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น จึงสรุปว่าการรับประทานสารสกัดจากพริกช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกายได้อย่างเห็นผล
c. ลดความดันโลหิต
การอุดตันของหลอดเลือดเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจล้มเหลว หรือการเสียชีวิตจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน โดยสาเหตุสำคัญมาจากการมีภาวะความดันโลหิตสูง การกินสารสกัดจากพริกจะช่วยลดอัตราเสี่ยงจากโรคทั้ง 2 ชนิด เนื่องจากแคปไซซินในสารสกัดจากพริก มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความดันโลหิต โดยพบผลจากงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า การรับประทานสารสกัดจากพริกช่วยลดความดันโลหิต โดยออกฤทธิ์ผ่านกลไกตามปกติของร่างกาย
d. เพิ่มการเผาผลาญและควบคุมน้ำหนัก
นักวิจัยค้นคว้าพบว่า สารสกัดจากพริกมีส่วนในการส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญพลังงาน (energy metabolism) กระบวนการสร้างความร้อนในร่างกาย (thermogenesis) และการเผาผลาญไขมัน (fat oxidation) ช่วยในการเผาผลาญพลังงานที่ร่างกายรับเข้าไปได้อย่างสมดุล ข้อค้นพบจากงานวิจัยที่สนับสนุนข้อสรุปดังกล่าว เช่น การวิจัยในกลุ่มผู้หญิงน้ำหนักปกติอายุ 16 ปี เมื่อให้บริโภคสารสกัดจากพริก พบว่าช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และทำให้ค่า total power spectral (TP) ซึ่งเป็นค่าที่มีความสัมพันธ์กับการสร้างความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งมีส่วนกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ
การศึกษาผลระยะเฉียบพลันของสารแคปไซซินในอาหารกลางวันในอาสาสมัครเพศหญิง พบว่า หลังจากกินอาหารที่มีสารสกัดจากพริกไปเพียง 15 นาที พบว่าฮอร์โมน Ghrelin (ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร) มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีการศึกษาในระดับเซลล์ โดย พบว่าในเซลล์ Caco-2 (human intestinal epithelial cells) ที่ได้รับแคปไซซินพบ มีการแสดงออกมากกว่าเซลล์ที่ไม่ได้รับแคปไซซิน ซึ่งแสดงผลว่าแคปไซซินนั้นเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในเซลล์ได้เช่นกัน จึงสรุปได้ว่า การบริโภคสารสกัดจากพริก มีส่วนช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้อย่างเห็นผล
e. ทำให้อารมณ์ดี
สารแคปไซซินในสารสกัดจากพริกสามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด อีกทั้งยังลดการสร้างฮอร์โมนที่ทำให้เครียด ช่วยให้เราอารมณ์ดี สดชื่น ทำให้ความดันโลหิตลดลง รู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขมากขึ้นได้
f. เสริมสร้างภูมิต้านทาน
พริกมีวิตามินเอและวิตามินซีสูงมาก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าวิตามินเอและวิตามินซีเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันโรคไข้หวัดได้ แถมในพริกยังมีเบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราให้แข็งแรงขึ้นได้อีกด้วย
g. ป้องกันโรคโลหิตจาง
โรคโลหิตจางมีสาเหตุหลักมาจากการขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง โดยช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงรวมทั้งฮีโมโกลบินให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งในพริกก็มีธาตุเหล็กประกอบอยู่พอสมควร รวมถึงยังมีทองแดงที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีกรดโฟลิกที่ช่วยเสริมให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ดังนั้น พริกจึงถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่ช่วยป้องกันโลหิตจางได้
h. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
วิตามินซีในพริกมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร แถมยังช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่หยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่ง พริกมีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้นการทานพริกจึงช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ ยิ่งไปกว่านั้นในพริกยังมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าสารเบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดและมะเร็งช่องปากได้
“ดอกคำฝอย” พืชสมุนไพรที่อุดมไปด้วยประโยชน์ต่อร่างกาย
ดอกคำฝอยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งได้แก่ โปรตีน 8-17 เปอร์เซ็นต์ เส้นใย 10.4 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียม 530 มิลลิกรัม เหล็ก 7.3 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 287 มิลลิกรัม น้ำมัน 35-45 เปอร์เซ็นต์ และกรดโอเลอิก 10-60 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น โดยสารอาหารเหล่านี้ล้วนดีต่อสุขภาพทั้งสิ้น สำหรับประโยชน์ของคำฝอยที่มีต่อสุขภาพก็มีมากมาย ดังนี้
a. กระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต
ดอกคำฝอยประกอบด้วยสารที่ออกฤทธิ์ต่อหลอดเลือดแดง เช่น สารพอลีฟีนอล (Polyphenols) และสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่อาจช่วยยับยั้งไขมันชนิดที่ไม่ดี (LDL) ลดการก่อตัวของพลัค (Plaques) ตามผนังหลอดเลือด จึงเชื่อว่าดอกคำฝอยอาจเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับความดันโลหิต จากผลการวิจัยประสิทธิภาพสารสกัดจากเมล็ดดอกคำฝอย นักวิจัยแนะนำว่าการบริโภคสารสกัดจากเมล็ดดอกคำฝอยเป็นเวลานานค่อนข้างปลอดภัยต่อร่างกาย และอาจช่วยบรรเทาภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้
b. ช่วยบำรุงหัวใจ
ดอกคำฝอยเป็นพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์อุ่น จึงสามารถบำรุงหัวใจได้ดี โดยจะทำให้หัวใจมีความแข็งแรง สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงการป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน
การศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า ดอกคำฝอยมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดฟลาโวนอยด์ และอัลคาลอยด์ รวมทั้งสารสีในกลุ่ม Quinochalcone ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องปกหัวใจและหลอดเลือด เช่นเดียวกับชาวจีนที่ศึกษาพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาว่า ดอกคำฝอยมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจ เพราะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น ต้านการขาดเลือดของหัวใจ รวมทั้งป้องกันสภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบแคบลง
c. ลดระดับไขมันไม่ดีในร่างกาย
ดอกคำฝอยมีกรดไลโนเลอิก ที่จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้ และป้องกันการอุดตันของไขมันในหลอดเลือดได้อีกด้วย จึงเหมาะกับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง เป็นโรคอ้วน หรือมีความเสี่ยงโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และนอกจากลดไขมันในเลือดได้แล้ว คำฝอยก็สามารถลดความอ้วนได้เช่นกัน
ซึ่งพบผลการวิจัยที่ได้ทำการทดลองในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง (ชาย 122 คนและหญิง 19 คน) ด้วยการให้รับประทานสารสกัดจากดอกคำฝอยทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่า สารสกัดจากดอกคำฝอย สามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตและระดับไขมันหรือคอเลสเตอรอลได้ และยังมีผลการสร้าง Prostaglandin ที่เป็นผลให้ High Density Lipoprotein ซึ่งเป็นไขมันดีเพิ่มขึ้น
d. ลดความดันโลหิต
สรรพคุณในการลดความดันโลหิตของดอกคำฝอย พบจากการวิจัยที่ทดลองในผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงชนิด Mild hypertension โดยให้รับประทานสารสกัดจากดอกคำฝอยทุกวันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่า ค่าความดัน Systolic ลดลงมา 6.5 mm.Hg และค่าความดัน Diastolic ลดลงมา 4.4 mm. จึงสรุปได้ว่าสารสกัดของดอกคำฝอยมีผลในการช่วยลดความดันโลหิตได้จริง
e. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
การกินคำฝอยจะช่วยลดระดับของน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูง การกินคำฝอยเป็นประจำ จะทำให้น้ำตาลลดต่ำลงมา และอยู่ในระดับปกติในที่สุด แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาพร้อมกับควบคุมการกินน้ำตาลควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็วทันใจและมีประสิทธิภาพสูง
f. ดอกคำฝอยกับโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากไม่รักษาจะทำให้เส้นประสาท หลอดเลือด และอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเสียหาย วิธีการรักษาโรคเบาหวาน คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ซึ่งทำได้หลายวิธี รวมถึงการเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ด้วย หลายคนเชื่อว่าการรับประทานดอกคำฝอยอาจส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด จากผลการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพของสารสกัดจากดอกคำฝอยที่ทดลองกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกินและเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 พบว่าการรับประทานสารสกัดจากดอกคำฝอย เป็นเวลา 16 สัปดาห์ อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มระดับไขมันชนิดที่ดี (HDL) ได้ อีกทั้งอาจส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดและอาจมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักได้อีกด้วย
g. ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
คำฝอยมีส่วนช่วยในการกระตุ้นสมองให้เกิดความผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมทั้งแก้อาการนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดี นั่นก็เพราะคำฝอยมีฤทธิ์เป็นยาระงับประสาทแบบอ่อนๆ จึงช่วยลดความเครียด ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และนอนหลับสบายมากขึ้นกว่าเดิม
คำแนะนำในการใช้สมุนไพรสารสกัดจากพริก
หากเลือกรับประทานพริกสด ในช่วงแรกๆ ควรรับประทานแต่น้อย และค่อยๆ เพิ่มขนาด จะทำให้ทางเดินอาหารค่อยๆ ปรับตัวรับความเผ็ดร้อนและระคายเคืองของพริก โดยการเพิ่มการหลั่งสารเมือกและสร้างเนื้อเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มขึ้น ผลการวิจัยเป็นจำนวนไม่น้อย พบว่าเมื่อรับประทานอย่างถูกวิธี พริกจะช่วยให้เกิดการสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ เมื่อรับประทานพริกในช่วงแรก อาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร แต่ต่อมาจะทำให้รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นสบาย ซึ่งความเผ็ดร้อนนี้ทำให้ลดลงได้มากด้วยอาหารที่มีมะเขือเทศและอาหารที่มี casein เช่น นม นอกจากนี้พริกยังช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหารอีกด้วย
โดยปกติแล้วขนาดรับประทานของพริกในผู้ใหญ่คือ 0.5 - 3 กรัม อย่างไรก็ตาม หากรับประทานพริกในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารในร่างกายได้ ดังนั้น การรับประทานพริกในรูปแบบสารสกัด จึงเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้ร่างกายได้คุณประโยชน์จากพริกได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีผลข้างเคียง
คำแนะนำในการใช้สมุนไพรสารสกัดจากดอกคำฝอย
แม้ว่าดอกคำฝอยจะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณแทบจะครอบจักรวาล แต่ก็ยังมีข้อควรระวังก่อนทานเช่นกัน ดอกคำฝอยมักถูกใช้เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร โดยจัดรวมกลุ่มใช้ด้วยกันกับยา หรือพืชตัวอื่นๆ จะไม่ใช้ดอกคำฝอยเดี่ยวๆ เพราะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม มิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบเลือดได้ หากทานดอกคำฝอยมากเกินไป หรือติดต่อกันนานเกินไป อาจส่งผลให้มีอาการโลหิตจางได้ ซึ่งทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย วิงเวียนศีรษะ หรืออาจทำให้โลหิตประจำเดือนมามากผิดปกติ นอกจากนี้ใครที่กำลังรับประทานยา หรือรับการรักษาโรคที่เกี่ยวกับลิ่มเลือด หรือกำลังทานยาสลายลิ่มเลือดอยู่ ไม่ควรทานดอกคำฝอย เพราะจะยิ่งเพิ่มการสลายลิ่มเลือดให้ออกฤทธิ์มากเกินไปจนอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
ส่วนผู้ที่ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติดี สามารถรับประทานดอกคำฝอยได้ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากดอกคำฝอยมากมาย ทั้งเครื่องดื่มผสมดอกคำฝอย หรือจะสกัดออกมาเป็นน้ำมันดอกคำฝอยและสารสกัดในรูปแบบแคปซูล ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ดีต่อสุขภาพทั้งสิ้น แต่ใครที่มีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
คำแนะนำในการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ไม่ว่าจะรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือสมุนไพรชนิดใด ไม่ควรรับประทานมากเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันทุกวันเป็นเวลานาน ควรตรวจสอบร่างกายว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ โดยปกติแล้วการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือสมุนไพรนั้นควรทานและเว้นระยะพักสักระยะหนึ่ง (เช่นทาน 2 เดือน พัก 15 วัน) เพื่อให้ร่างกายได้ขับสารที่ตกค้างออก อีกทั้งควรระวังการรับประทานสมุนไพรร่วมกัน หรือรับประทานร่วมกับยา เพราะสมุนไพรและยาอาจเกิดอันตรกิริยาต่อกัน (ยาตีกัน) ทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรือยาออกฤทธิ์มากเกินไป ซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้